top of page
Search
  • Cat Hoteru

ที่สุดของหัวใจ ในหลวงของเรา


เรื่องราวต่อไปนี้เป็นตอนหนึ่งในสี่สิบเรื่องของหนังสือ"ที่สุดของหัวใจ" ที่เป็นความผูกพันของคนไทยกับในหลวงซึ่งประทับอยู่ในหัวใจของผู้ที่ได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท

เสียงปริศนา

พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันเสด็จฯ จากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คงพอจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของประชาชน ที่พร้อมใจส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดิน

วันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ ..."วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ ตลอดทางที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชนที่มาส่งเสด็จอย่างล้นหลาม ได้ทอดพระเนตรเห็นประชาชนที่แสดงความจงรักภักดี บางแห่งใกล้จนทอดพระเนตรเห็นดวงหน้าและแววตาชัด ที่บ่งบอกถึงความเสียขวัญอย่างใหญ่หลวง ทั้งเต็มไปด้วยความรักและห่วงใย อันเป็นภาพที่ทำให้อยากรับสั่งกับเขาทุกคน ถึงความหวังดีที่ทรงเข้าพระทัย และขอบใจเขาเช่นกัน ขวัญของคนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าขาดกำลังใจ ถ้าขวัญเสียมีแต่ความหวาดระแวง ประเทศจะมีแต่ความอ่อนแอและแตกสลายพอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึงสองร้อยเมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพรได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ เข้าพระกรรณ์ ว่า...."

"ในหลวง อย่าทิ้งประชาชนนะ"

ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า

"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้"

เป็นที่น่าประหลาดว่า ต่อมาอีก 20 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบชายที่ร้องตะโกนทูลพระองค์ไม่ให้ทิ้งประชาชนนั้นเป็นพลทหาร และในปัจจุบันเขาออกไปทำนาอยู่ในต่างจังหวัด

เขากราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่ทรงทิ้งราษฎร เขาทูลว่า ตอนที่เขาร้องไปนั้น เขารู้สึกว้าเหว่และใจหาย ที่เห็นพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปจากเมืองไทย กลัวจะไม่เสด็จกลับมาอีก เพราะคงจะทรงเข็ดเมืองไทย เห็นเป็นเมืองที่น่ากลัวสยดสยอง เขาดีใจมากที่ได้เฝ้าฯอีก กราบบังคมทูลถามว่า

"ท่านคงจำผมไม่ได้ ผมเป็นคนร้องไม่ให้ท่านทิ้งประชาชน"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า

"เราน่ะรึที่ร้อง?"

"ใช่ครับ ตอนนั้นเห็นหน้าท่านเศร้ามาก กลัวจะไม่กลับมา จึงร้องไปเหมือนคนบ้า"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบ

"นั่นหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา"

 

ถ่ายที่ไหน

อาณัติ บุนนาค มหาดเล็กและช่างภาพส่วนพระองค์

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันซึ่งขณะนั้นทรงมีฐานะเป็นสมเด็จพระอนุชา ได้นำภาพถ่ายรูปเรือลำหนึ่งให้ข้าราชบริพารใกล้ชิดดู แล้วตรัสถามว่า

มีผู้ใดทราบบ้างว่าเป็นเรืออะไรและถ่ายที่ไหน

ทุกคนในที่นั้นนิ่งอึ้งเว้นแต่นายทหารผู้หนึ่งทูลตอบทันทีว่าเป็นเรือรบหลวงศรีอยุธยา ซึ่งพระองค์ท่านรับสั่งว่าถูก แต่สถานที่ที่พระองค์ทรงฉายภาพนี้มีแต่น้ำกับฟ้าซึ่งมีเมฆสีขาวงดงามเท่านั้น ภูมิประเทศในภาพนั้นทำให้เป็นที่ฉงนสนเท่ห์แก่ทุกคนในที่นั้นว่า พระองค์ทรงฉายภาพนั้นได้อย่างไร จากภูมิประเทศในภาพนั้นคาดกันว่า ทรงถ่ายขณะเรืออยู่ในทะเล แต่พระองค์ก็ไม่เคยเสด็จฯทางเรือครั้งใดที่มีเรือศรีอยุธยาโดยเสด็จด้วย

ในที่สุดทุกคนยอมจำนน พระองค์ท่านจึงตรัสว่า "ถ่ายในห้องนี่เอง" พร้อมกับชี้พระหัตถ์ไปยังห้องเครื่องเล่น

ทุกคนในที่นั้นยังมีสีหน้าสนเท่ห์ พระองค์จึงเสด็จฯ นำไปดู ความจริงจึงประจักษ์แก่สายตาทุกคน

บนโต๊ะขัดมันปลาบตัวหนึ่งในห้องนั้น มีหุ่นจำลองเรือรบหลวงศรีอยุธยาวางอยู่ ถัดไปเป็นภาพถ่ายเมฆงดงาม ความมันบนพื้นโต๊ะทำให้เกิดเงาเรือรบจำลอง ทำให้ดูเหมือนเรือจอดอยู่ในน้ำ

ทุกคนจึงเข้าใจและพากันยอมรับนับถือพระปรีชาสามารถในการฉายภาพทำนอง Top Table นี้ของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง

 

ทะเบียนสมรส

ฟื้น บุณยปรัตยุธ อดีตนายอำเภอปทุมวัน นายทะเบียนในวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงจดทะเบียนสมรสเฉกเช่นคู่สมรสทั่วไป

สมุดทะเบียนสมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ ปกสมุดหุ้มด้วยหนังแกะอ่อนสีเหลืองเข้ม กลางปกเป็นหนังสีน้ำตาลมีอักษรตัวทองบอกว่าเป็นสมุดทะเบียนสมรส ข้อความในสมุดทะเบียนทุกอย่างคงเป็นเหมือนสมุดทะเบียนสมรสทั่วไป

ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยแท้ เกี่ยวกับการจดทะเบียนนี้ พระองค์ท่านทรงทำตามระเบียบทุกอย่าง ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสนอกสถานที่ ปิดอากรแสตมป์ ๑๐ สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม ๑๐ บาท ตามระเบียบถูกต้อง

 

บาบูรักในหลวง

ระหว่างทรงพระผนวช ทุกเช้าจะมีบาบู ๓ นาย ขี่สามล้อเครื่องค่อนข้างเก่ามาหยุดอยู่ที่ประตูวัดบวรฯ

คนขับซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้น ลงมาแก้ห่อนมสด ๒ ขวด พร้อมกับหนีบนมสดทั้ง ๒ ขวดเข้าไปให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ณ พระตำหนัก เพื่อถวายแด่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

บาบูนายนี้ชื่อ นาย รามดาส ชาวอินเดีย เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทยได้ ๒๐ กว่าปีแล้ว มากับลูกชาย และนายซิตาราม ซิงห์ อายุ ๕๖ ปี เป็นพี่น้องกัน ทั้งสามนับถือศาสนาฮินดู

"แขกกับไทย มิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน ศาสนาไม่เกี่ยว ฉันอยู่เมืองไทยมายี่สิบกว่าปี สบายดีเหลือเกิน ฉันคิดถึงพระคุณในหลวง และฉันรักท่านมาก ฉันจึงไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่เขาถวายนมสดวันละ ๒ ขวดน่ะ"

บาบูรามดาสได้เผยว่า นมสดที่เขานำมาทูลเกล้าฯ ถวายได้ทำอย่างชนิดพิเศษ คือรีดจากนมวัวแล้วใส่ขวดเลยโดยไม่ปะปนกับนมสดที่นำไปขาย

 

ไล่ออกก็ยอม

นางสาว ชูทิศ แสงชัย (ขณะนั้นอายุ ๒๕ ปี)

ภูมิพโลภิกษุทรงลาสิกขาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน รวมเวลาที่ทรงพระผนวชเป็นเวลา ๑๕ วัน

ทันทีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ในฉลองพระองค์ชุดเศวตพัสตร์ แต่ไม่ทรงฉลองพระมาลา ประชาชนสตรีจำนวนมากก็เฮโลล้อมหน้าล้อมหลัง

เมื่อเสด็จผ่านหญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งพับเพียบราบอยู่ใกล้พระบาท ได้นำดอกไม้มาถวาย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับดอกไม้แต่เหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะอุบัติได้อุบัติขึ้น สตรีผู้นั้นได้ฉวยโอกาสขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับดอกไม้ คว้าพระหัตถ์มาจูบเสียฟอดใหญ่แล้วก้มกราบ

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผ่อนตามด้วยสีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไป

"ตั้งแต่พระองค์ท่านทรงพระผนวช หนูไม่ได้มีโอกาสมาเฝ้าเลย จะลางานเขาก็ไม่ให้ลา วันนี้เลยหนีงานมา จะขอเฝ้าและจูบพระหัตถ์พระองค์ท่านให้ได้ ถึงจะตายก็ไม่ว่า และแม้ว่าบริษัทจะไล่ออกก็ยอม

หนูเลยจูบพระองค์ท่านเสียฟอดใหญ่ แหม...พระหัตถ์ท่านหอมและเย็นดีจังค่ะ

 

ลืมจนได้

ทมนี มหานนท์

เพื่อเป็นการระลึกถึงพระเดชพระคุณของ "ทูลหม่อม" ของเรา พวกแพทย์จึงจัดงานที่เราเรียกกันแต่ก่อนมาว่า "วันมหิดล"

ในวันที่ ๒๔ กันยายน ซึ่งเป็นวันสิ้นพระชนม์ ทางโรงพยาบาลศิริราชจัดการถวายบังคมพระรูปสมเด็จพระบรมราชชนกซึ่งประดิษฐานอยู่ในโรงพยาบาล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นผู้นำในการถวายบังคมทุกปีถ้าเสด็จอยู่พวกหมอที่เป็นนักดนตรีก็ตั้งวงกันขึ้นบรรเลงเพลงสดุดี เทิดพระเกียรติและถวายบังคมไว้อาลัยแด่ทูลกระหม่อมทุกปีมา

เมื่อพวกเราจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับจะเสด็จฯมาร่วมวงดนตรีด้วยนั้น ความจงรักภักดี ความปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจก็ล้นพ้นหัวใจพวกเรา ความตื่นเต้นนั้นออกมาในรูปต่างๆกัน

เพื่อนหมอคนหนึ่งเล่นขิม คืนที่วันรุ่งขึ้นจะได้เข้าเฝ้าฯ นั้น ท่านมานอนตรึกตรองว่าเพียงรูปเซียนแปดตัวที่เขียนไว้หน้าขิมนั้นจะพาเข้าเฝ้าถวายตัวจะยังไม่เป็นการถวายพระเกียรติได้เพียงพอสมใจ เมื่อจะรับเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งที ควรจะใช้ธงชาติรับจึงจะเหมาะ ท่านจึงซื้อสีพ่นมาพ่นเป็นธงชาติทับลงไปบนเซียนทั้งแปดนั้น กว่าจะพ่นเสร็จก็ดึกมากแล้ว

แต่เมื่อลองเสียงดูก็เกิดความตกใจเป็นล้นพ้นว่า เสียงขิมนั้นกลับอับทึบไปหมด เพราะสีที่พ่นไปเกิดความชื้นให้เส้นลวด

ท่านจึงต้องเปลี่ยนแผนใช้น้ำยาเช็ดสีออกจนหมด กว่าจะเสร็จก็สว่างพอดี เมื่อเพื่อนฝูงรู้ข่าวก็ตกใจไปตามๆกัน เพราะท่านผู้นี้จะเป็นผู้รวบรวมเครื่องดนตรีทั้งหมดบรรทุกเข้าไปที่สถานีวิทยุ อ.ส. ในพระราชวังจิตรลดา

ทุกคนหวั่นใจว่าท่านอาจลืมเครื่องอะไรสักอย่างเป็นแน่เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เมื่อไปถึงพร้อมหน้ากัน ก็ได้ทราบด้วยความขบขันเป็นอันมากว่า สิ่งที่ท่านลืมนั้นคือ ฟันปลอมทั้งชุดของท่าน ด้วยความตื่นเต้นไม่ทราบว่าไปวางลืมไว้ที่ไหน

 

หมึกไม่ออก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อนงค์รัตน์ สุขุม

วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๖ เป็นวันพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่นายกสโมสรอาจารย์จะเป็นผู้ดูแลถวายปากกาให้ทรงลงพระปริมาภิไธย แต่ในปีนั้น ดิฉันในฐานะอุปนายกสโมสรอาจารย์ได้รับหน้าที่แทน

ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนิน เราก็ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะปากกา ลองกันหลายครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่

พอเสด็จฯ มาถึงท่านก็ทรงลงพระปริมาภิไธย ปรากฏว่าว่าทรงจรดปากกาลงไปแล้วแต่ไม่มีหมึกออกมา เราก็ตกใจมากเลยไม่รู้จะทำยังไงดี นึกในใจว่าเป็นความบกพร่องของเราแน่ๆ ลองมากไปจนหมึกหมด ดิฉันก็เลยถวายกระดาษทิชชูเปล่าๆที่อยู่ในมือให้ท่าน เพื่อจะให้ท่านทรงเช็ดปากกา

แต่ท่านทรงพระเมตตามากเลย สีพระพักตร์ที่ท่านมองดิฉันเหมือนกับจะตรัสว่า "ไม่ต้องตกใจ" แล้วก็ทรงนำปากกามาลองที่มือดิฉันที่มีกระดาษทิชชู ปรากฏว่าหมึกออก จากนั้นก็ทรงหันไปลงพระปริมาภิไธยในสมุด

พอท่านเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามาดูกระดาษที่ทรงลองปากกาแผ่นนั้นกันใหญ่

ศาสตราจารย์ ดร. สุรพล วิรุฬห์รักษ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ บอกว่า

"พี่ๆ ขอหน่อยเถอะพี่ จะเอาไปเป็นมงคล" ก็เลยแบ่งให้อาจารย์ไปส่วนหนึ่ง

 

เกาะช้าง

เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท อดีตตำรวจหลวง

ครั้งนั้นทรงเสด็จประพาสทางทะเล แม่ทัพเรือในตอนนั้นมียศเป็นจอมพล เป็นญาติกันกับข้าพเจ้า ได้ถวายรายงานตลอดเวลาที่เรือพระที่นั่งแล่นผ่านไปในท้องทะเลแม่ทัพเรือผู้นี้มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวงเสียด้วย

ตอนนั้นเรือพระที่นั่งผ่านเกาะใหญ่ในทะเล ทรงมีพระราชดำรัสถามคุณหลวงแม่ทัพเรือว่า "เกาะอะไร ชื่อเกาะนี้ชาวบ้านเขาเรียกกันอย่างไร"

ท่านอดีตแม่ทัพเรือได้กราบบังคมทูลถวายรายงานเรื่องชื่อเกาะนี้อย่างแคล่วคล่อง แต่หาได้ระมัดระวังไม่

ท่านกราบทูลว่าอย่างนี้ครับ

"ขอเดชะ เกาะนี้ชาวบ้านเรียกพระนามว่าเกาะช้างพระเจ้าข้า"

ทรงรับฟังคำกราบทูลของท่านแม่ทัพเรือ แล้วก็ทรงแย้มพระสรวล ทรงหันกลับมามีพระราชดำรัสกับท่านแม่ทัพเรือว่า

"งั้นเกาะนี้ก็เป็นญาติกับฉันน่ะซี"

 

น้ำลดหรือยัง

ถาวร ชนะภัย

หลายปีมาแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

เป็นช่วงเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ห้องทรงงานใหม่ๆ ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให้ฟังว่า แม้ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยังไม่เสด็จขึ้นห้องพระบรรทมแต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่อยู่อย่างใกล้ชิด

ด้วยทรงห่วงใยราษฏรจึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เองถามไปทางหาดใหญ่ว่า "น้ำลดแล้วหรือยัง"

โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์เมื่อเวลาตีสองตีสามมีข้อความที่ตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ถามอะไรอยู่ได้ดึกดื่นป่านนี้แล้วคนเขาจะหลับจะนอน" แต่ตอนท้ายของคำตอบก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า "น้ำลดแล้ว"

 

ไม่ต้องกั้น

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก วันนั้นผมจำได้ ผมติดอยู่บนท้องถนน ฝนตกผมก็มีวิทยุ เลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย "วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ" ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฏรอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาลถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีกสร้างความทุกข์ให้กับประชาชน ทรงวิทยุบอกตำรวจว่า "ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชนไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน"

 

ลุงวาเด็ง

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์

วันนี้ลุงวาเด็งพาแววตาที่เป็นประกายมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยชุดเต็มยศครึ่งท่อน คือสวมกางเกงตัวเดียวไม่สวมเสื้อ

ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วที่สามัญชนคนธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ ก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ บอกเล่าความทุกข์สุขกับพระเจ้าแผ่นดินของเขาได้อย่างเสมอภาคกันถ้วนหน้าเช่นนี้

ลุงวาเด็งดีใจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงหน้าบ้าน จึงเหลียวซ้ายแลขวาหลายครั้งผิดปกติในที่สุดก็ได้กราบบังคมทูลอย่างฉะฉานว่า "พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทั้งทีไม่มีอะไรจะถวาย ผลไม้ในสวนเพิ่งเก็บขายไปได้เงินมาสองหมื่นบาท ก็นำเงินไปซื้อเครื่องปั๊มน้ำมาได้ 1 เครื่อง ถอดเอาขึ้นรถและขนไปเลยขอถวายพระเจ้าอยู่หัว"

 

ข้าวผัดไข่ดาว

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

วันหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จพระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเฟื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาทเ พราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง

เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าวตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทันก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้

ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้ว ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระทะกับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ สามถึงสี่ใบ

เราก็ตักเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้มีข้าวผัดเหมือนอย่างเราไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่เพื่อนผมก็จะไปหยิบมามหาดเล็กบอกว่า "ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก" ดูสิครับตักมาจากก้นกระทะเลยผมนี่น้ำตาแทบไหลเลยท่านเสวยเหมือนๆ กันกับเรา

 

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอเกิดเป็นข้ารองพระบาท ทุกชาติไป

 
3,418 views0 comments
bottom of page